ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเรี่มใหม่หรือกดโหลดได้

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4 แนวคิดการทำงานเป็นทีม

       การทำงานเป็นทีมนั้นจะประสบผลสำเร็จจะต้องมีความสามารถในการใช้วิชาความรู้  และความสามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่น  และควรกระทำอย่างบริสุทธิ์  ปราศจากอคติ  และมีความถูกต้อง มีเหตุผล 
       การทำงานเป็นทีมจะทำให้งานที่ออกมานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
       ทีม  หมายถึง  กลุ่มคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ทำงานร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน  สมาชิกจะต้องเสียสละความเป็นส่วนตัว  มีความเข้าใจ  มีความผูกพันธ์และให้ความร่วมมือกัน
       แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของบุคคล
   1.การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
   2.แรงจูงใจของมนุษย์
   3.ธรรมชาติของมนุษย์
            ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ  จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างชัดเจน  มีความจริงใจต่อกัน  ไว้ใจซึ่งกันและกัน  ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ  ร่วมกันแก้ไขปัญหา  ใช้ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์  ทบทวนการทำงานและมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่นและเข้าใจเพื่อนร่วมงาน

กิจกรรมที่ 3

1.การจัดการเรียนการสอน  จัดชั้นเรียน  เตรียมการสอน  ในยุคศตวรรษที่  21  กับยุคก่อนศตวรรษที่  21

                การจัดการเรียนการสอน  จัดชั้นเรียน  เตรียมการสอน  ในก่อนศตวรรษที่  21  เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตและเมื่อถึงระยะหนึ่งการเรียนรู้จะสิ้นสุดลง และจะมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นผู้บรรยายและถ่ายทอดความรู้  และ กำหนดรายละเอียดเนื้อหาแต่ก่อนศตวรรษมนุษย์จะไม่รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเองละ จดจำความรู้ที่ได้รับได้น้อยลงดังนั้นโรงเรียนจึงต้องมีส่วนร่วมในการกล่อม เกลามนุษย์ให้เป็นคนดีของสังคมและไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง  แต่ในยุคปัจจุบันยุคศตวรรษที่  21  การเรียนรู้จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่  มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ตนเองตามแต่ลักษณะของบุคคลแต่ละบุคคลมีขีดความสามรถไม่เท่าเทียมกัน และมีสื่อทางเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและมีเครือข่ายเชื่อโยงถึงกันและทันสมัย  บรรยากาศของห้องเรียนจะลักษณะที่ดีและหน้าเรียน

 2.ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุคต่อไปข้างหน้าให้สรุปตามแนวคิดของนักศึกษา

               การเตรียมตัวในการเป็นครูที่ดีนั้นครูผู้สอนจะต้องวางแผนเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะสอนและมองถึงความพร้อมของผู้เรียนในการเรียน จึงทำให้ “ครูหรือ อาจารย์ต้องปรับตัวในการถ่ายทอดความรู้เพื่อให้ได้ ผลผลิตทั้งในด้าน ความรู้ที่จะถ่ายทอดและ บัณฑิตที่มีคุณภาพ แม่นตรงในเนื้อหาของความรู้ ที่จะนำมาถ่ายทอดต่อสู่ผู้เรียน ตาม”ระดับความเหมาะสมเพื่อ ให้ตนเองและผู้เรียนรู้สามารถใช้ความรู้ประยุกต์ในการแก้ปัญหา หรือหาหนทางพัฒนางานที่เกี่ยวข้อง หรือนำไปใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต ตลอดจนการสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศึกษาความรู้ ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับความรู้ในศาสตร์เฉพาะทางแห่งตน และใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนก้าวทันสมัย

กิจกรรมที่2 ทฤษฎีการบริหารการศึกษา


ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ ขั้น
       มาสโลว์ เป็นเจ้าของทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ ลำดับ ทฤษฎีของเขามีพื้นฐานอยู่บนความคิดที่ว่า การตอบสนองแรงขับเป็นหลักการเพียงอันเดียวที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ เขามีความเชื่อว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีความต้องการอันใหม่ที่สูงขึ้น แรงจูงใจของคนเรามาจากความต้องการ พฤติกรรมของคนเรามุ่งไปสู่การตอบสนองความพอใจ มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น ระดับด้วยกัน ได้แก่ 
     1.ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) 
     2.ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)  
     3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) 
     4.ความต้องการยกย่องชื่อเสียง (Esteem Needs) 
     5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต(Self–ActualizationNeeds)

มาสโลว์ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับความต้องการมนุษย์ไว้ดังนี้
    1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ 
    2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้น ๆ อีกต่อไป 
    3. ความต้องการของมนุษย์จะเรียงกันเป็นลำดับขั้น ตามความสำคัญ 


Douglas Mc Gregor : ทฤษฎี และทฤษฎี 
          อาจจะเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีการมองต่างมุม ในความเป็นจริงของคนทุกคนไม่มีใครจะร้ายอย่างบริสุทธิ์ คือไม่มีข้อดีเลย คงไม่มี และในทางกลับกัน ก็คงไม่มีใครที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ 
         ทฤษฎี X(Theory X) เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ไม่ชอบงานและพยายามหลีกเลี่ยงงาน
         ทฤษฎี Y(Theory Y) เป็นปรัชญาการบริการจัดการ โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
        แมคเกรเกอร์ ได้เรียกร้องให้ผู้บริหารเปลี่ยนแปลงมุมมองมนุษย์จากมุมมองตามทฤษฎี ไปเป็นมุมมองตามทฤษฎี Y


William Ouchi : ทฤษฎี Z
        ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกัน คุณวิลเลียม โอชิ ซึ่งเป็นชาวซามูไร เป็นคนคิดขึ้นมา ทฤษฎี บางตำราอาจจะเรียกว่ากลุ่มทฤษฎีร่วมสมัย เป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์ 
การที่จะทำความเข้าใจทฤษฎี ได้นั้น ต้องทำความเข้าใจของทฤษฎี และทฤษฎี ก่อน
        ทฤษฎี คือ Amarican Theory เป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา ซึ่งให้หลักการว่า การบริหารจัดการแบบนี้ ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต 
        ทฤษฎี คือ การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่า 1.) การจ้างงานตลอดชีวิต หรือ Lifetime Employment มีการเลื่อนตำแหน่ง มีความผูกพันกัน

         วิลเลี่ยม โอชิ ได้นำทฤษดฎีข้างต้น ที่เรียกว่า Blend Together หรือการนำมาผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า ทฤษฎี Z ซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย 
       1.) ใช้วิธีแบบ Long Term Employment หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นทางสายกลาง 
       2.) ประการที่สอง จะต้องมีลักษณะที่เรียกว่า Individaul Responsibility คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่งนำเอาหลักแนวคิดแบบอเมริกันมาใช้กับบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง 
       3.) และประการที่ คือ ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม ต้องมีการพูดคุย ถึงผลดีผลเสียของการบริหารจัดการแบบต่างๆ

Henry Fayol : บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่ 
        เป็นบิดาของทฤษฎีการจัดการการปฏิบัติการ(Operational management theory)
หรือบางทางก็ถือกันว่าเป็นบิดาของการบริหารจัดการสมัยใหม่
เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ และเขาสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ (Managerial activities) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมห้าอย่างคือ
     1. การวางแผน(Planning)
     2. การจัดองค์การ(Organizing)
     3. การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding)
     4. การประสานงาน (Coordinating)
     5. การควบคุม (Controlling)

Max Weber : ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic Management) 
      แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy  โดยสรุป  แล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี ประการมีดังนี้ คือ
     1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ น(Division of labor)
     2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ( Authority Hierarchy) 

     3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ ( Formal Selection) 
     4. องค์การต้องมีระเบียบ และกฏเกณฑ์ (Formal Rules and Regulations) 
     5. ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ( Impersonality) ความจริงคำว่า impersonality 

     6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ (Career Orientation)
 Luther Gulick : POSDCORB
        Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม ประการมาใช้ในการบริหารจัดการ กิจกรรมทั้ง ประการมีคำย่อว่า POSDCORB(CO คือคำเดียวกัน) มีการนำรูปแบบการบริหารจัดการของLuther Gulick ไปใช้ในการบริหารองค์กรสมัยใหม่อย่างกว้างขวาง แนวความคิดที่นำเอามุมมองทั้ง ด้านมาใช้นั้นสอดคล้องกับทฤษฎีการบริหารจัดการของ Henri Fayol , Frederick W.Taylor และ Max Weber 
คือการวางแผน (planning) หมายถึงการกำหนดเป้าหมายขององค์การว่าควรทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อะไร และจะดำเนินการอย่างไร
คือการจัดองค์การ (organizing) หมายถึงการจัดตั้งโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการภายในองค์การเพื่อประสานงานหน่วยทำงานย่อยต่าง ๆ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายขององค์การได้
คือการสั่งการ (directing) หมายถึง การที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาโดยพยายามนำเอาการตัดสินใจดังกล่าวมาเปลี่ยนเป็นคำสั่งและคำแนะนำนอกจากนี้ ยังหมายถึงการที่หัวหน้าฝ่ายบริหารต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำขององค์การ
คือการบรรจุ (staffing) หมายถึง หน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลเพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และจัดเตรียมบรรยากาศในการทำงานที่ดีไว้
CO คือการประสานงาน(co-ordinating) หมายถึง หน้าที่สำคัญต่าง ๆ ในการประสานส่วนต่าง ๆ ของงานให้เข้าด้วยกันอย่างดี 
คือการรายงาน (reporting) หมายถึง การรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในองค์การให้ทุกฝ่ายทราบ ทั้งนี้อาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การวิจัยและการตรวจสอบ
คือการงบประมาณ (budgeting) หมายถึงหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวของกับงบประมาณในรูปของการวางแผนและการควบคุมด้านการเงินการบัญชี
 Frederick Herzberg : ทฤษฎี ปัจจัย (Two Factors Theory)
        ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจโดยเฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick Herzberg)
เฮิร์ซเบอร์กได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน เขาได้ศึกษาโดยการสัมภาษณ์พนักงานในเรื่องของความพึงพอใจจากการทำงาน สรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย ปัจจัย คือ
     1. ปัจจัยภายนอกหรือเรียกว่า Hygiene Factors
     2. ปัจจัยภายใน หรือ Motivation Factors
ปัจจัยภายนอก(Hygiene Factors) ได้แก่ 
นโยบายขององค์กร 
การบังคับบัญชา 
ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน 
สภาพแวดล้อม/เงื่อนไขในการทำงาน 
ค่าจ้าง/เงินเดือน/สวัสดิการ 
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน 
ปัจจัยภายใน(Motivation Factors) ได้แก่
การทำงานบรรลุผลสำเร็จ
การได้รับการยอมรับ
ทำงานได้ด้วยตนเอง
ความรับผิดชอบ
ความก้าวหน้าในงาน
การเจริญเติบโต
Frederick W. Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
       เทย์เลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่ 
      1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
      2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
      3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
     4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ

Frank B. & Lillian M. Gilbreths : Time – and – Motion Studies
       แนวคิดของ Gilbreth เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง (the o­ne best way to do work) การศึกษาที่สำคัญคือลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำงาน (Motion Study)ผังกระบวนการทำงาน (Work Flow Process Chart)

กิจกรรมที่ 1

ความหมายของคำว่า การบริหาร การศึกษา การบริหารการศึกษา
                    การบริหาร  คือ  การทำงานตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน โดยการใช้ศาสตร์และศิลปะมาใช้ในการบริหาร ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
                    การศึกษา  คือ  การสร้างประสบการณ์ชีวิตให้เกิดความเจริญงอกงามทั้งร่างกาย อารมณ์สังคมและสติปัญญาสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้
                    การบริหารการศึกษา  คือ การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนไห้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี ตามที่สังคมต้องการ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
ความแตกต่างของการบริหารการศึกษากับการบริการอื่นๆ1.ความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ การบริหารราชการแผ่นดิน มีความประสงค์เพื่อความอยู่ดีกินดี ส่วน    การบริหารการศึกษา มุ่งเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ2.บุคคล   2.1 ผู้ให้บริการ บุคคลที่ให้บริการทางการศึกษาคือ ครูอาจารย์ผู้อำนวยการ  ผู้บริหารต้องเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนดี แตกต่างจากผู้บริหารราชการแผ่นดิน   2.2 ผู้รับบริการ ผู้รับบริการในการบริหารการศึกษา  จะเป็นเด็กเยาว์วัย  ส่วน บุคคล ที่รับบริการ ราชการแผ่นดินคือคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว 3.กรรมวิธีในการดำเนินงาน การบริหารการศึกษา เป็นกรรมวิธีที่ละเอียดอ่อน การบริหารราชการและการบริหารธุรกิจจะนำไปใช้ไม่ได้4.ผลผลิต การบริหารการศึกษา เน้นให้ผู้เรียนมีคุณภาพทางการศึกษา ส่วนผลผลิตทางการบริหาราชการแผ่นดินและการบริหารธุรกิจ เป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่าย เช่นมีคลองระบายน้ำ
งานบริหารการศึกษาโดยทั่วไปแบ่งได้ ประเภท
1.การบริหารวิชาการ  เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการสอน ครอบคลุมเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้เพื่อ
     เป็นการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ
2. การบริหารธุรการ  เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการเงิน วัสดุครุภัณฑ์ และงานบริการอื่นๆ
3. การบริหารงานบุคคล เป็นการสรรหาบุคคลเข้ามาเป็นครู
4. การบริการกิจการนักเรียน เป็นการดำเนินการเกี่ยวกับนักเรียน เช่นการปฐมนิเทศ การปกครองนักเรียน
สามารถเสริมสร้างให้นักเรียนเป็นคนดีคนเก่งได้
5. การบริหารงานด้านความสัมพันธ์กับชุมชน  เป็นการบริหารงานกับชุมชน  สามารถทำให้นักเรียนมีคุณภาพ เพราะเมื่อเรียนแล้วสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ได้